random xúc xắc

ThaiPublica > Native Ad > KCG เปิดตัว “ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล” ซีอีโอคนใหม่ ชู Transition Towards Sustainable Growth

KCG เปิดตัว “ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล” ซีอีโอคนใหม่ ชู Transition Towards Sustainable Growth

25 มีนาคม 2024
(ซ้ายไปขวา) นายธวัช ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG, นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ และ นายดนัย คาลัสซี รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส
KCG เปิดตัว “ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล” ซีอีโอคนใหม่ ชู Transition Towards Sustainable Growthสร้างองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมสู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง” ตั้งเป้าเติบโตอย่างยั่งยืนแบบ double digit เดินหน้า ‘KCG Logistics Park’ ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบครบวงจร รับแผนขยายกำลังผลิตเต็มอัตราและขยายขอบเขตธุรกิจใหม่
นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG กล่าวว่า KCG ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก และจากการวางยุทธศาตร์และกลยุทธ์การตลาดอย่างแข็งแกร่งและสอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของปี 2566 สร้างสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีรายได้จากการขาย 7,157 ล้านบาท เติบโต 16.2% และทำกำไรสุทธิ 305.9 ล้านบาท เติบโต 26.9% KCG ดำเนินธุรกิจด้วยผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่ม คือ (1) ผลิตภัณฑ์ประเภทนม ภายใต้แบรนด์ “อลาวรี่” “อิมพีเรียล” “แดรี่โกลด์” และอื่นๆ (2) ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ ซึ่งไม่มีส่วนประกอบของนม จัดจำหน่ายสินค้าทั้งในกลุ่มโมเดิร์นเทรด ร้านค้าทั่วไป ร้านอาหาร โรงแรม (Food Service) และโรงงานอุตสาหกรรม และ (3) ผลิตภัณฑ์บิสกิต, แครกเกอร์, เวเฟอร์ และเยลลี่ ภายใต้แบรนด์ “อิมพีเรียล” และอื่นๆ ภายใต้การบริหารงานของนายดำรงชัย ในฐานะซีอีโอคนใหม่ ได้วางวิสัยทัศน์ “Transition Towards Sustainable Growth : สร้างองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมสู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง” โดยกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาใน 2 มิติ ได้แก่
  • ยุทธศาสตร์ด้านวัฒนธรรมองค์กร (Cultural Strategy) โดยยึดหลัก “Heart-driven – Expertise – Agile – Responsible – Teamwork” ด้วยความเชื่อมั่นว่าพนักงานเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุสู่เป้าหมายสูงสุด
  • ยุทธศาตร์ทางธุรกิจ (Business Strategy) เพื่อบรรลุเป้าหมายสร้างอาณาจักรอาหารตะวันตก เนยและชีส ให้เติบโตมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้การขับเคลื่อน 7 แกนหลัก คือ
    • มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ (Growth)
    • การพัฒนาบุคลากร (People)
    • การขับเคลื่ององค์กรด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Innovation Data & Tech)
    • การขยายตลาดส่งออก (Export)
    • ยกระดับศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทันสมัยและครบวงจร (Supply Chain & Inventory)
    • ยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Production& Automation)
    • การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Development)

    นายดำรงชัย กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2567 เติบโตไม่ต่ำ 10% และมั่นใจว่าจะเติบโต double digit ในปีถัดๆ ไป ทั้งจากกิจการร่วมค้า (JV) และเข้าซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจต้นน้ำ และมองโอกาสในการซื้อธุรกิจต้นน้ำในด้านวัตถุดิบ เพื่อเสริม supply chain และธุรกิจปลายน้ำ เพื่อต่อยอดจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตในการขยายตลาดมากขึ้น

    นายดำรงชัย กล่าวต่อว่า บริษัทวางงบลงทุนปี 2567 ที่ 400 ล้านบาท เน้นการเพิ่มและปรับปรุงประสิทธิภาพกำลังการผลิต โดยอยู่ระหว่างการขยายกำลังผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ชีสในรูปแบบห่อเดี่ยว จากเดิม 18,000 ตันต่อปี เป็น 23,000 ตันต่อปี พร้อมวางระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ ปรับปรุงระบบไอที และวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อทรานส์ฟอร์มองค์กร สานต่ออาณาจักรอาหารสไตล์ตะวันตก เนยและชีส

    ด้านนายธวัช ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวถึงเทรนด์อุตสาหกรรมอาหารว่า สถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 ที่ผ่านมา ได้สร้างอุบัติการณ์ใหม่ทางด้านโภชนาการอาหารทั่วโลก โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งสร้าง 5 เมกะเทรนด์ในปี 2567 คือ (1) Health Beliefs เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย (2) Naturally Functional เทรนด์อาหารที่มีการพัฒนาสารเสริมเชิงหน้าที่จากธรรมชาติหรือมีการเติมวิตามินเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ (3) Weight Wellness เทรนด์อาหารสำหรับการดูแลรูปร่าง (4) Snackification เทรนด์นวัตกรรมอาหารว่างที่ทำให้สะดวกทานง่ายทุกที่และทุกเวลา และ (5) Sustainability เทรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลก

    นายธวัช กล่าวถึงแนวทางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในปี 2567-2572 โดยบริษัทวางกรอบการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพและบริการใหม่ตามเทรนด์ต่างๆ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถเจาะลึกถึงต้องการของผู้บริโภคกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน รวมถึงการต่อยอดสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งที่ทำจากนม (Dairy Products) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ได้ทำจากนม (Non-dairy) พร้อมทั้งร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและพันธมิตรบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างเหมาะสม นายดนัย คาลัสซี รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวว่า หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ ได้ลงทุนสร้าง ‘KCG Logistics Park’ หรือศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบครบวงจรบนพื้นที่ 15 ไร่ โดยนำเทคโนโลยีมาจัดเก็บผลิตภัณฑ์ของ KCG ซึ่งครอบคลุมทั้ง 3 อุณหภูมิ ทั้งระบบแช่แข็ง (Frozen) ระบบแช่เย็น (Chill) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) มาใช้ ทำให้สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เนยและชีสมีความสดใหม่ และนำเทคโนโลยีระบบ VMI (Vendor Managed Inventory) มาใช้เพื่อควบคุมระดับสต็อกและการส่งสินค้าให้ทันเวลาตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้ นอกจากนี้ ในด้านการผลิตได้มีการขยายกำลังผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ชีสในรูปแบบห่อเดี่ยว (Individually Wrapped Processed Cheese Slices หรือ IWS) เพิ่มขึ้นจากเดิม 2,106 ตันต่อปี เป็น 4,212 ตันต่อปี ไปเรียบร้อยแล้วในเดือนตุลาคมปี 2566 และอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตเนยจากเดิม 18,000 ตันต่อปี เป็น 23,000 ตันต่อปี ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2568 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าปรับระบบการขนส่งสินค้าด้วยการเพิ่มสัดส่วนการใช้รถไฟฟ้าพลังงานสะอาด (EV Truck) โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ของจำนวนรถขนส่งทั้งหมด เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่คุณค่าอย่างยั่งยืน
    keno online top 10 casino online casino trực tuyến baccarat online tải baccarat