ธนาคารกสิกรไทย โดย KBank Private Banking จัดงานเสวนาความยั่งยืนแห่งปี “Rethink Sustainability: A Call to Action for Thailand” หนุนการเปลี่ยนผ่านและลงมือทำเพื่อความยั่งยืน
สถาบันการเงิน โดยเฉพาะ ‘ธนาคาร’ นับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างและขับเคลื่อน ‘ความยั่งยืน’ หรือ ‘Sustainability’ รวมถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
สถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทยอย่าง ‘ธนาคารกสิกรไทย’ อาสาเป็นตัวกลางขับเคลื่อนและสร้างการเปลี่ยนผ่านให้ประเทศมุ่งไปสู่ความยั่งยืน โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ลูกค้าของธนาคาร พันธมิตรทางธุรกิจ ภาคเอกชน ภาครัฐ รวมไปถึงประชาชนคนไทยทุกคน
กุญแจสู่ความยั่งยืน และมุมมองนักลงทุนต่อ Net Zero
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความท้าทายของเศรษฐกิจโลกหนีไม่พ้นเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะความพยายามลดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2593 ดังนั้นทุกภาคส่วนทั้งภาคธุรกิจและประชาชนจะต้องปรับตัวเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเปิดงานว่า ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน ประกอบด้วย 4 แรงขับเคลื่อนสำคัญ คือ-
1.การกำหนดนโยบายและกฎเกณฑ์จากภาครัฐ
2.การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
3.ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม
4.การเลือกลงทุนของนักลงทุน
ไทยยั่งยืนที่ 1 ในอาเซียน แต่การลดก๊าซเรือนกระจกไม่ถึงเป้า
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญในการผลักดันและขับเคลื่อนให้เกิดการลงมือทำ เพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืน คือ ‘ภาครัฐ’ ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของไทย (SDGs Goal) ในหัวข้อ “โอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน” (Identify and Capture the Transitional Oppotunities in Thailand) ว่า ประเทศไทยได้คะแนนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนลำดับที่ 43 ของโลก และลำดับที่ 3 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน แม้ประเทศไทยจะเป็นที่ 1 ของอาเซียน แต่ ดร.พิรุณ บอกว่า “การดำเนินการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกยังล่าช้า” เพราะเมื่อเทียบกับเป้าหมายระยะสั้นคือ ปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) ต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 43% แต่ปัจจุบันยังทำได้แค่ 30% เท่านั้น ซึ่งในอีก 5 ปีต่อมาในปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) มีเป้าที่จะต้องลดให้ได้ถึง 60% ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ตามมาอีกด้วย ดร.พิรุณ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการดำเนินงานสู่ความยั่งยืนของไทยถือว่าเติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะเป้าหมายเรื่องการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินที่มีแผนชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังมีการปฏิบัติอื่นๆ ที่ต้องทำควบคู่กันอีกมาก จึงนำมาสู่คำถามว่า “ทำอย่างไรให้แผนและความร่วมมือแปลงไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม” “ผมยืนยันว่าภาครัฐ แม้นโยบายไม่สามารถจิ้มและชี้ได้เร็ว แต่ภาพรวมของแผนได้รับการยอมรับและความร่วมมือระหว่างประเทศมากพอสมควร…การทำงานในวันนี้ ทุกคนในภาพรวมของประเทศ ค่อนข้างเข้าใจและพร้อมขับเคลื่อนกับภาครัฐ ขณะที่ประชาชนแม้ยังไม่ได้เข้าใจมากพอก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปกับมาตรการและกฎหมาย ดังนั้นการสร้างความตระหนักรู้เป็นเรื่องสำคัญในการเร่งการขับเคลื่อนทุกมิติ” ดร.พิรุณกล่าว เมื่อถามถึงอุปสรรคในการเปลี่ยนผ่าน ดร.พิรุณตอบว่าอุปสรรคคือกฎหมาย และกลไกสนับสนุนที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม สถาบันการเงินต้องลงทุนไปในทิศทางที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนต้นทุนเทคโนโลยีที่ประเทศไทยจ่ายยังมีราคาสูงอยู่“เรามีต้นทุนที่ต้องจ่าย แต่ต้องเลือกว่าจะจ่ายวันนี้ หรือจะจ่ายแพงกว่าในวันหน้า” ดร.พิรุณ กล่าว
ในเวทีเสวนาหัวข้อเดียวกัน นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ประเทศไทยควรใช้ BCG Model (Bio, Circular และ Green) เป็นตัวขับเคลื่อนและเปลี่ยนผ่าน เนื่องจาก BCG เหมาะกับบริบทประเทศไทย นายวิวรรธน์ ยกตัวอย่างเรื่อง Bio ซึ่งประเทศไทยมีผลผลิตการเกษตรที่ดี ประกอบกับมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ดังนั้นควรผลักดันองค์ความรู้ด้านสมุนไพร ทว่ายังติดข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยี ขณะที่ประเด็น Circular และ Green เห็นได้ชัดว่าภาคธุรกิจจำนวนมากให้ความสนใจ และเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งนับเป็นสัญญาณบวกที่ภาคธุรกิจและผู้บริโภคตื่นตัวมากขึ้นCarbon War : เกมที่ประเทศไทยแพ้ไม่ได้
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในหัวข้อ “โอกาสแห่งการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจ และศักยภาพในการแข่งขันระดับภูมิภาค” (Winning the Transition Opportunities – Connect the Regional Game) ว่า ธนาคารกสิกรไทยมุ่งสู่การเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน และเป็นผู้นำด้าน ESG ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สนับสนุนโครงการที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม ปรับเปลี่ยนการดำเนินงานภายในของธนาคารเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและยกระดับมาตรฐานสู่สากล
นายพิพิธ กล่าวต่อว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนถือเป็นภารกิจระดับโลก ประเทศผู้นำที่มีความพร้อมสามารถกำหนดนโยบายด้านความยั่งยืนที่อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อทุกประเทศ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างความท้าทายเป็นอย่างมากต่อประเทศไทย ขณะที่ธนาคารกสิกรไทยมีบทบาทในการส่งเสริมเงินทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน โดยเชื่อมั่นในการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น
นายพิพิธ กล่าวต่อว่า ในอดีตที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจมีการกีดกันผ่านกลไกต่างๆ ตั้งแต่สงครามการค้า (Trade War) ต่อมาเป็นสงครามเทคโนโลยี (Tech War) และในอนาคตถ้าหากว่ามีสงครามการกีดกันด้วยคาร์บอน หรือ Carbon War และในกรณีที่ประเทศไทยไม่ปรับตัว จะทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันและการเติบโต ตลอดจนมีการคาดการณ์ว่าจีดีพีอาจหายไปถึง 30%
สิ่งเหล่านี้คือ Global Game ที่นายพิพิธ ย้ำว่า ธนาคารกสิกรไทยต้องการให้ทุกคนเป็นผู้ชนะ (Winner) ในเกมนี้ และเพราะหากมีผู้แพ้ (Loser) เกิดขึ้น หมายความว่าธุรกิจที่ธนาคารกสิกรไทยปล่อยสินเชื่อจะไม่สามารถดำเนินการต่อได้ นั่นหมายถึงความพ่ายแพ้ของธนาคารกสิกรไทย
ท่องเที่ยว-อาหาร ยั่งยืนต้องคำนึงถึง ‘สิ่งแวดล้อม’
อีกหนึ่งเวทีสำคัญคือ “สร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ (Building Through a Sustainable Future in Tourism and Service Industry)” โดยผู้ให้ข้อมูลคือ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ เป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึงร้อยละ 8 จากจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด นายยุทธศักดิ์ บอกว่า การท่องเที่ยวต้องให้ความสำคัญกับ 2 คำคือ ‘Sustainability’ (ความยั่งยืน) และ ‘Resilience’ (ความสามารถในการปรับตัว) โดยเหตุผลที่เป็น 2 คำนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา การท่องเที่ยวไทยส่งผลกระทบหลายด้าน เช่น การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการขยายตัว-ลงทุนที่ทำลายวิถีชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม นายยุทธศักดิ์ กล่าวต่อว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวต้องลดผลกระทบทางลบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (minimize) ขณะเดียวกันต้องเพิ่มผลกระทบทางบวกต่อชุมชนและสังคม (maximize) “ความยั่งยืนต้องเป็น soft power และเป็น key driver ของ การสร้างความเติบโตให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการของไทยในอนาคต ถ้าเรายังไม่มองเรื่องเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน การเอาคนมาเที่ยวเฉยๆ ไม่พอ เราต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน” ถัดมาเป็นเวทีหัวข้อ “ระบบอาหารแห่งอนาคต: บริโภคอย่างยั่งยืน เพื่อโลกที่ยั่งยืน (New Food System: Feeding the World, Nourishing the Planet)” โดยผู้ให้ข้อมูลคือ นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) การเสวนาหัวข้อนี้เน้นเจาะลึกประเด็นด้านการเกษตร ห่วงโซ่อาหาร และแนวทางการผลิตรูปแบบใหม่ที่ใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่สร้างผลิตผลที่เพิ่มขึ้นด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีการผลิตใหม่ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2593 จะมีจำนวนประชากรเพิ่มราว 1 หมื่นล้านคน นำไปสู่ความต้องการด้านอุปโภค บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 60-100 ดังนั้น ความท้าทายของเบทาโกรคือ ผลิตอาหารอย่างไรให้เพียงพอต่อประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายวสิษฐ กล่าวว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องอยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ (Integrity) พร้อมกับการนำพาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนไปร่วมกัน ฉะนั้น เบทาโกร จึงให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety) ประกอบกับองค์ประกอบเรื่องคุณภาพ ความอร่อย และราคาที่เป็นธรรม นายวสิษฐ กล่าวต่อว่า บริษัทนำความยั่งยืนเข้าไปเป็นส่วนสำคัญของการทำธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการจัดการ การผลิต การจัดจำหน่าย การขาย และแพคเกจจิ้ง ทุกกระบวนการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด “Sustainable Food” นายวสิษฐ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันเบทาโกรผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์ ได้ถึง 10% เมื่อเทียบกับการใช้งานของเครือ ส่วนแพคเกจจิ้งรูปแบบ Eco-Friendly คิดเป็น 97% ของสินค้าทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของเบทาโกรคือ ‘เทคโนโลยี’ และ ‘ต้นทุน’ ทั้งเทคโนโลยีการผลิตอาหาร เทคโนโลยีด้านพลังงาน และเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน เพราะหากเอียงไปฝั่งใดมากเกินไป ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระราคาที่เพิ่มขึ้นทางออก พลาสติก-พลังงาน-ขนส่ง ตัวการโลกเดือด
อุตสาหกรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือ อุตสาหกรรมเคมีและพลาสติก กระทั่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ กระแส Bio-Plastic เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาการปรับตัวผ่านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นแนวทางที่จะสร้างความยั่งยืนแก่สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น และคาดว่าในอนาคตพลาสติกจะเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคตโดยต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนด้านนี้ราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี พ.ศ.2583 นางสาวกรกมล กอไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์ พัฒนาธุรกิจและพาณิชยกิจ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าเพิ่ม บริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “พลาสติกหมุนเวียน อุตสาหกรรมเคมีแห่งอนาคต” (Plastic Circularity: Chemistry Shaping the Future) ว่า โจทย์ของ GC คือทำอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูล และปรับกระบวนการผลิตโดยนำแนวคิด Circularity มาสร้างความยั่งยืนและความมั่นใจในการเติบโตที่รับผิดชอบต่อสังคม“ในธุรกิจพลาสติก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนจะมองเราเป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เราจึงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนทั้งองค์กร และที่สำคัญปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่สามารถทำคนเดียวได้ ทั้งองค์กรต้องมีความเชื่อไปด้วยกัน…ผีเสื้อตัวเล็กๆ กระพือปีกตัวเดียว อาจไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเรามีผีเสื้อที่ช่วยกันกระพือปีก เราจะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมและความเปลี่ยนแปลง” นางสาวกรกมล กล่าว
นางสาวกรกมล สรุปแผนของ GC 3 เป้าหมาย ได้แก่ (1) สร้างการแข่งขันในธุรกิจหลักให้มากขึ้น เน้นศักยภาพในการทำงานทำให้ต่อสู้กับคู่แข่งได้ (2) ปรับพอร์ตการลงทุน โดยเน้นลงทุนในธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนให้โลก และ (3) เติบโตร่วมกับพันธมิตร และพัฒนาเทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอนไว้ใต้ดินและนำกลับมาใช้ เพื่อลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก