แพทย์ใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย-ไม่ได้รับบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์
นับแต่แพทยสภาก่อตั้งมา 50 ปี (2511-2561) มีการเลือกตั้งผ่านทางไปรษณีย์มาโดยตลอด แต่ช่วงหลังพบว่าแพทย์ใช้สิทธิ์เลือกตั้งกรรมการแพทยสภาน้อยลง โดยมีการใช้สิทธิ์ราว 20-30% จากจำนวนแพทย์ทั้งหมดซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 6 หมื่นคน ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้แพทย์ใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยคือในระบบไปรษณีย์จำนวนมาก เนื่องจากมีการเปลี่ยนที่อยู่หรือเคลื่อนย้ายที่ทำงานบ่อยครั้ง โดยเฉพาะแพทย์ใช้ทุนจบใหม่ จากปัญหาดังกล่าว มีสมาชิกแพทยสภาเสนอให้มีการศึกษาวิจัยว่าเหตุใดสมาชิกแพทยสภาไม่สนใจเลือกตั้งแพทยสภา จนกระทั่งเมื่อสองปีที่แล้วแพทยสภาจัดให้มีโครงการวิจัย “การศึกษาเหตุที่ผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาต่ำมากและแนวทางแก้ไข” เพื่อนำมาปรับปรุงการเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา ผู้วิจัยคือ ดร.ศิริวรรณ ศิริบุญ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ โครงการวิจัยมีวัตถุประสงค์ 5 ประการ คือ 1. ศึกษาพฤติกรรมการใช้สิทธิ 2. เหตุผลของการใช้สิทธิและไม่ใช้สิทธิ 3. ข้อเสนอแนะเพื่อให้สมาชิกใช้สิทธิเลือกตั้งสูงขึ้น 4. ความคิดเห็นที่มีต่อบทบาทแพทยสภา และ 5. ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาแพทยสภา ส่วนวิธีการศึกษาวิจัย ใช้ระเบียบวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยส่งแบบสอบถามไปยังสมาชิก 7,622 คน ตอบกลับมา 1,338 คน และสอบถามเชิงลึก 19 คน ประกอบด้วย สมาชิกแพทยสภา กรรมการแพทยสภา เจ้าหน้าที่แพทยสภา และที่ปรึกษาผลวิจัยพบไม่ได้รับบัตรเลือกตั้งร้อยละ 28 – คนสมัครหน้าเดิมๆ
จากผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่ไม่ใช้สิทธิในการเลือกตั้งให้เหตุผลว่าเป็นเพราะไม่ได้รับบัตรเลือกตั้ง ร้อยละ 28.1, ไม่มีเวลา ร้อยละ 27.1, เลือกไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ร้อยละ 23.6, คนสมัครหน้าเดิมๆ ร้อยละ 14.9, ลืมส่งบัตรเลือกตั้ง ร้อยละ 14.3, ทำบัตรเลือกตั้งหาย ร้อยละ 12.6, ไม่ระบุเหตุผล-แพทยสภาไม่น่าเชื่อถือ ร้อยละ 5.8 สำหรับการใช้สิทธิเลือกกรรมการแพทยสภาก่อน พ.ศ. 2558 ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 41.5 ระบุว่าใช้สิทธิเลือกตั้งทุกครั้ง, ร้อยละ 27.4 ระบุว่าใช้สิทธิเกือบทุกครั้ง, ร้อยละ 12.6 ระบุว่าใช้สิทธินานๆ ครั้ง, และร้อยละ 13.8 ระบุว่าไม่เคยใช้สิทธิเลย นอกจากนี้ ผู้ให้ข้อมูลเสนอความเห็นเพื่อเพิ่มการใช้สิทธิเลือกตั้งไว้หลายประเด็น ได้แก่ ควรจะประชาสัมพันธ์หลายๆ ครั้ง/บ่อยๆ ร้อยละ 54, ควรกระตุ้นผ่านระบบไอที ร้อยละ 48.8, ควรให้เลือกตั้งผ่านระบบไอทีที่มีการรักษาความลับ ร้อยละ 44 ส่วนข้อเสนออื่นๆ คือ ควรมีหน่วยเลือกตั้งเคลื่อนที่หรือมีหน่วยเลือกตั้งในพื้นที่อื่นๆ, ควรให้มีกรรมการที่มีโควตาจากระดับจังหวัด, ควรมีทางเลือกในการใช้สิทธิได้ทั้งใช้บัตรเลือกตั้งและใช้สิทธิผ่านระบบไอที, และฐานข้อมูลสมาชิกต้องได้รับการปรับปรุงให้มีความครบถ้วนและทันสมัย ในเวลาต่อมา ได้มีการนำผลวิจัยดังกล่าวมารายงานในที่ประชุมกรรมการแพทยสภา และสมาชิกแพทยสภาเสนอให้มีการเลือกตั้งแบบออนไลน์ โดยให้เหตุผลว่าปัจจุบันเป็นยุคไทยแลนด์ 4.0 ประกอบกับสภาเภสัชกรรมได้มีการเลือกตั้งแบบออนไลน์แล้วเช่นกัน แต่ในที่สุดก็มีมติให้เลือกตั้งแบบเดิมคือทางไปรษณีย์ไปก่อนปัญหาวงการแพทย์รอการแก้ไข
มีการวิเคราะห์จากสมาชิกแพทยสภาจำนวนหนึ่งมองว่า จากปัญหาแพทย์ไม่ได้รับบัตรเลือกตั้งจำนวนมาก และส่งผลให้มีการใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อย จะทำให้แพทย์ไม่มีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง และอาจส่งผลให้ได้กรรมการแพทยสภาที่ไม่ใช่ผู้แทนที่แท้จริงของแพทย์ส่วนใหญ่ ขณะที่ปัญหาวงการแพทย์จำนวนมากซึ่งเป็นหน้าที่ของแพทยสภาต้องแก้ไข ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข เพราะตัวแทนแพทย์ไม่ใช่ผู้แทนที่แท้จริงนั่นเอง
เมื่อไม่นานมานี้ มีการประชุมสมาชิกแพทยสภาที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งสมาชิกได้ร่วมกันเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาในวงการแพทย์มากกว่า 40 ข้อ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
-
1. สวัสดิการและสวัสดิภาพของสมาชิก
2. บทบาทแพทยสภาที่มีต่อระบบการแพทย์และสาธารณสุข
3. ปัญหากฎหมายที่มีผลต่อสมาชิกแพทยสภา
ทั้งนี้มีข้อเสนอจากสมาชิกว่า แพทย์ควรจะทำงานสัปดาห์ละไม่เกิน 80 ชั่วโมง ทั้งในและนอกเวลาราชการจากปกติ 40 ชั่วโมง แต่ก็ยังมีหลายโรงพยาบาลระบุว่าทำไม่ได้ บางโรงพยาบาลบอกว่าทำมากกว่า 120 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เนื่องจากมีปัญหาขาดแคลนแพทย์และพยาบาล
จากปัญหาเหล่านี้ สมาชิกจึงเสนอให้แพทยสภาในฐานะองค์กรวิชาชีพจะต้องให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในเรื่องปัญหาการแพทย์และสาธารณสุข ตามวัตถุประสงค์แพทยสภามาตรา 7(5) ส่วนบทบาทแพทยสภาที่มีต่อระบบการแพทย์และสาธารณสุข สมาชิกมีข้อเสนอให้แพทยสภามีการปฏิรูประบบการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (ดูแลตนเองก่อนป่วย) รวมทั้งกระตุ้นรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลสุขภาพก่อนป่วย ไปจนถึงการตรวจคัดกรองและการให้ความรู้แก่ประชาชนในการรักษาตนเองเบื้องต้นได้อย่างถูกต้องตามมาตรา 7(4) (5) ขณะเดียวกันยังเสนอให้แพทยสภาส่งเสริมการวิจัยเพื่อให้มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในทางการแพทย์ และควรมีบทบาทในการสนับสนุนและส่งเสริมให้แพทย์มีความรู้ความสามารถในด้านการแพทย์แผนไทย รวมทั้งการใช้ตำรับยาไทยที่เคยมีมาแล้วในอดีตปลดล็อกแพทย์ติดคุกคดีอาญา เพราะรักษาผู้ป่วย
ส่วนข้อเสนอต่อปัญหากฎหมายที่มีผลต่อสมาชิกแพทยสภา เป็นเรื่องที่มีการหารือกันมาก เพราะปัจจุบันเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบกับคนในวิชาชีพแพทย์จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะกรณีแพทย์รักษาคนไข้แต่ถูกฟ้องคดีอาญาจนติดคุก ทั้งนี้ มีสมาชิกแพทยสภาเสนอความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวหลายข้อ ยกตัวอย่างเช่น เฝ้าระวังการเสนอกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมต่อแพทย์ก่อนที่จะมีการออกมาใช้บังคับ, เสนอแก้ไขกฎหมายเดิมที่ไม่เป็นธรรมต่อแพทย์ เช่น กฎหมายสถานพยาบาล กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค รวมทั้งแก้ไขกฎหมายไม่ให้การรักษาผู้ป่วยต้องเป็นคดีอาญา หรือต้องติดคุกเพราะรักษาคน โดยเสนอให้ยับยั้งร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทางการแพทย์ พ.ศ. …. ซึ่งมีเนื้อหาไม่แตกต่างจากคดีผู้บริโภค และไม่ปรากฏว่าได้กำหนดให้ศาลต้องรับฟังความคิดเห็นพยานผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และยังลงโทษให้แพทย์ถูกจำคุกได้อีก เป็นต้นผลกระทบจากแพทย์-พยาบาลขาดแคลน
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา กรรมการแพทยสภา ให้ความเห็นต่อเรื่องสวัสดิการและสวัสดิภาพของสมาชิกที่มีการเสนอ เช่น แพทยสภาควรกำหนดระยะเวลาการทำงานของแพทย์ในภาคราชการไม่ให้มากเกินไป ควรให้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่สังคมเมื่อมีปัญหาแพทย์ถูกกล่าวหาร้องเรียนในสื่อสังคม ไม่นับรวมการแก้ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนจำนวนมาก รวมถึงปัญหาโรงพยาบาลรัฐขาดทุน “จากปัญหาหมอไม่พอ เช่น ในห้องฉุกเฉินมีหมอหนึ่งคน พยาบาลอีก 3-4 คน แต่มีคนไข้มารอจำนวนมาก เวลาคนไข้ป่วยหนักมา คนที่รอคิวก็ต้องรอไว้ก่อน หมอก็มาดูแลคนไข้ที่หนักกว่า ก็เกิดเรื่องโต้เถียงกับหมอ เพราะมีความรู้สึกว่ารอนานเกินไป จนเกิดกรณีคนไข้เครียดทำร้ายหมอ” พญ.เชิดชูยกตัวอย่างอธิบายต่อว่า “อีกเรื่องหนึ่งคือหมอเครียดต่อว่าคนไข้ ยกตัวอย่างเคยมีหมอคนหนึ่งบอกว่าโรงพยาบาลไม่ใช่ 7-11 ขณะที่หมอที่จังหวัดมุกดาหารคนหนึ่งบอกว่าโรงพยาบาลที่เขาอยู่ยิ่งกว่า 7-11 เพราะมีหมอแค่คนเดียว แต่อยู่รอดได้เพราะมีพยาบาลคอยช่วย แต่ปัจจุบันพยาบาลก็ขาดแคลน”จากการประชุมสมาชิกแพทยสภา ได้มีข้อเสนอว่าแพทย์ควรจะทำงานสัปดาห์ละไม่เกิน 80 ชั่วโมงทั้งในและนอกเวลาราชการจากปกติ 40 ชั่วโมง แต่ก็ยังมีหลายโรงพยาบาลบอกว่าทำไม่ได้ และทำมากกว่า 120 ชั่วโมง เนื่องจากมีปัญหาขาดแคลนแพทย์และพยาบาล
“เพราะฉะนั้น ปัญหาเหล่านี้แพทยสภาในฐานองค์กรวิชาชีพควรจะมีส่วนเสนอให้รัฐบาลได้รับรู้เพื่อนำไปสู่การแก้ไขทั้งเรื่องคน งบประมาณ มาตรฐาน คุณภาพ และชั่วโมงการทำงาน ตามวัตถุประสงค์แพทยสภามาตรา 7(5) ก็คือแพทยสภาจะต้องให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในเรื่องปัญหาการแพทย์และสาธารณสุข” ในส่วนบทบาทแพทยสภาที่มีต่อระบบการแพทย์และสาธารณสุข พญ.เชิดชูระบุว่า มีข้อเสนอให้แพทยสภามีการปฏิรูประบบการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (ดูแลตนเองก่อนป่วย) รวมทั้งกระตุ้นรัฐบาลให้ให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลสุขภาพก่อนป่วย ไปจนถึงการตรวจคัดกรองและการให้ความรู้แก่ประชาชนในการรักษาตนเองเบื้องต้นได้อย่างถูกต้องตามมาตรา 7(4) และ (5) ขณะเดียวกัน แพทยสภาควรส่งเสริมการวิจัยเพื่อให้มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในทางการแพทย์ เช่น การใช้เสต็มเซลล์ การรักษาด้วยการแพทย์รีเจเนอเรทีฟ (regenerative medicine) หรือการใช้กัญชาทางการแพทย์ และควรมีบทบาทในการสนับสนุนและส่งเสริมให้แพทย์มีความรู้ความสามารถในด้านการแพทย์แผนไทย รวมทั้งการใช้ตำรับยาไทยที่เคยมีมาแล้วในอดีต ส่วนปัญหากฎหมายที่มีผลต่อสมาชิกแพทยสภา พญ.เชิดชูบอกว่า ปัจจุบันเรื่องกฎหมายการแพทย์มีปัญหากับแพทย์อย่างมาก โดยเฉพาะกรณีแพทย์รักษาคนไข้แต่ถูกฟ้องคดีอาญาจนติดคุก ทั้งที่จริงๆ แล้วในทุกประเทศทั่วโลก การรักษาคนไข้ไม่นับเป็นคดีอาญา ยกเว้นจงใจทำร้ายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ในที่ประชุมสมาชิกมีการเสนอความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวหลายข้อ ได้แก่ เฝ้าระวังการเสนอกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมต่อแพทย์ก่อนที่จะมีการออกมาใช้บังคับ, เสนอแก้ไขกฎหมายเดิมที่ไม่เป็นธรรมต่อแพทย์ เช่น กฎหมายสถานพยาบาล กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคแก้ไขกฎหมายไม่ให้การรักษาผู้ป่วยต้องเป็นคดีอาญา ไม่ให้ติดคุกเพราะรักษาคน โดยเสนอให้แพทยสภายับยั้งร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทางการแพทย์ พ.ศ. …. ซึ่งมีเนื้อหาไม่แตกต่างจากคดีผู้บริโภค และไม่ปรากฏว่าได้กำหนดให้ศาลต้องรับฟังความคิดเห็นพยานผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และยังลงโทษให้แพทย์ถูกจำคุกได้อีก เป็นต้น
พญ.เชิดชูกล่าวว่า ทุกวันนี้แพทย์ทำงานไปแต่ก็ต้องระวังตัวเองไม่ให้ถูกฟ้อง ซึ่งหนึ่งในวิธีการระวังคือส่งตัวคนไข้ไปหาผู้เชี่ยวชาญหรือโรงพยาบาลใหญ่ที่มีบุคลากรและเครื่องมือแพทย์ที่พร้อมกว่า ยกตัวอย่างกรณีศึกษา เช่น แพทย์คนแรกที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 4 ปีไม่รอลงอาญาก่อนหน้านี้ ที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช“โดยแพทย์คนนี้ให้คนไข้ดมยาสลบทางไขสันหลัง เนื่องจากทำการผ่าตัดไส้ติ่ง แต่ปรากฏว่าคนไข้เกิดรีแอคชั่นที่ผิดปกติและช็อก แพทย์จึงเลิกผ่าตัดแล้วรีบส่งไปโรงพยาบาลใหญ่ แต่ในที่สุดคนไข้เสียชีวิต ญาติฟ้องแพทย์ในคดีอาญา ศาลตัดสินจำคุก 4 ปี ทั้งที่ตั้งใจรักษาคนไข้ ศาลบอกว่าหมอไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญดมยา เพราะฉะนั้นจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้นตัดสินจำคุก 4 ปี แต่คำถามคือในประเทศไทยมีหมอดมยาทุกโรงพยาบาลมั้ย ไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลชุมชนไม่มีหมอดมยาเลย ไม่มีผู้เชี่ยวชาญดมยาอย่างที่ศาลต้องการ อย่างไรก็ดี คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว ทำให้แพทย์คนดังกล่าวไม่มีความผิด”
หลังจากกรณีนี้ทำให้โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศซึ่งเคยมีห้องผ่าตัด เคยทำผ่าคลอดได้ ผ่าทำหมันได้ เลิกทำผ่าตัดหมด เรามีห้อง มีเครื่องมือ แต่ไม่ผ่าตัด ทุกคนส่งไปที่โรงพยาบาลใหญ่หมด คนไข้ก็ไปแออัดอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ เพราะกระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถจัดสรรแพทย์ดมยาให้แก้โรงพยาบาลได้ทุกโรงพยาบาลกระนั้นก็ตาม พญ.เชิดชูกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้มีการอบรมเป็นพยาบาลวิสัญญี แต่ตอนนี้ถึงแม้จะมีพยาบาลวิสัญญี หมอที่ผ่าตัดคนไข้ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะเป็นหมอ เพราะฉะนั้นหมอไม่ผ่าดีกว่า เพื่อรักษาตัวเองไม่ให้ถูกติดคุก และเพื่อให้คนไข้ปลอดภัยอย่างที่ศาลต้องการ แต่ปรากฏว่าปัจจุบันอัตราไส้ติ่งแตกสูงขึ้นระหว่างทางไปโรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งก็ยังไม่ได้มีการแก้ไขเรื่องนี้”
พญ.เชิดชูกล่าวต่อในประเด็นนี้ว่า “พ.ร.บ.สถานพยาบาล ซึ่งจะบังคับโรงพยาบาลเอกชนว่าต้องมีหมอดมยา แต่โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขไม่จำเป็น เพราะไม่มีคน บุคลากรแพทย์รับผิดชอบตัวเอง ฉะนั้น การมี พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค เอาผิดทางอาญา หมอก็เกิดปัญหาต้องส่งต่อคนไข้ไป วิธีการนี้เรียกว่า defensive medicine คือป้องกันตัวเอง ฉันอยากรักษาคน แต่ก็ต้องระวังด้วยว่าจะไม่เดือดร้อนซะเอง”
พญ.เชิดชูกล่าวว่า ดังนั้น การเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาครั้งนี้อยากให้แพทย์มีส่วนร่วมในการจะเข้ามาเป็นเจ้าของแพทยสภา เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาวงการแพทย์โดยลุกขึ้นมาออกเสียงเลือกตั้ง เพราะปัญหาแพทย์แต่ละเรื่องต้องมีทีมขึ้นมาศึกษา ไม่ว่าเรื่องชั่วโมงการทำงานของแพทย์หรือการวิจัยเพื่อพัฒนาใหม่ๆ รวมทั้งเรื่องกฎหมายที่มีผลต่อสมาชิกแพทยสภา “อยากจะให้ทุกคนสนใจว่าองค์กรแพทยสภาควรจะเป็นผู้นำสังคมในเรื่องมาตรฐานคุณภาพทางการแพทย์ แล้วการคุ้มครองแพทย์ก็เพื่อคุ้มครองประชาชน เพราะถ้าแพทย์มีเวลาทำงานที่มีมาตรฐาน แพทย์มีความรู้ที่ดี ก็ไม่ต้องมาหวั่นวิตกกับการจะถูกติดคุก เขาก็จะทำได้เต็มร้อย” พญ.เชิดชูกล่าว