ถ้าเปรียบเทียบให้ ตูน “อาทิวราห์ คงมาลัย” และทีมงานก้าวคนละก้าววิ่งเพื่อช่วยกอบกู้วิกฤติทางการเงินของ 558 แห่ง ที่ขาดทุน 12,701 ล้านบาท ถ้าวิ่ง 1 รอบ เวลา 55 วัน ระยะทางเบตง-แม่สาย 2,191 กิโลเมตร เพื่อระดมทุน 700 ล้านบาทต่อรอบ ตูนจะต้องวิ่ง 18 รอบ 39,753.5 กิโล เท่ากับวิ่งรอบโลก 1 รอบ 40,000 กิโลเมตร ระยะเวลารอบละ 55 วัน 18 รอบ รวม 997.92 วัน หรือ 2.7 ปี หรือ 2 ปี 8 เดือน (ณ 18 ธันวาคม 2560 ยอดบริจาค 868 ล้านบาท)
วันนี้ปัญหาการขาดทุนของโรงพยาบาลรัฐจำนวนมากในทุกขนาดโรงพยาบาลไม่ใช่ดราม่าอีกต่อไป กระทรวงสาธารณสุขจะต้องออกมาให้ข้อเท็จจริงและความความจริงแก่ประชาชนคนไทย เพราะจะให้ตูนและทีมงานวิ่งคงไม่รอดแน่ๆ หลังจากตูนวิ่งระดมทุนให้กับ ได้เงิน 85 ล้านบาท ระยะทางวิ่ง 400 กิโลเมตร ในเวลา 10 วัน ก็มีกระแสว่าการวิ่งของตูนเพื่อจะเปิดความจริงเรื่องการขาดทุนของโรงพยาบาลให้ปรากฏชัด ยิ่งตอกย้ำมากขึ้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่ “ตูน” จะเริ่มโครงการก้าวคนละก้าว ได้เคยขอเข้าพบ นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น (เพิ่งพ้นตำแหน่งเมื่อสิ้นเดือนกันยายน 2560) เพื่อหารือระดมทุนช่วยโรงพยาบาลเพื่อซ์้ออุปกรณ์การแพทย์ แต่กว่าได้เข้าพบก็เกือบจะหมดวาระการเป็นปลัดกระทรวง สุดท้ายตูนก็ไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้ เพราะลึกๆแล้วหลายฝ่ายกลัวความจริงจะถูกเปิดเผย ความจริงที่ว่าคือโรงพยาบาลรัฐขาดทุนมหาศาล เพราะหากปล่อยให้ตูนวิ่ง การวิ่งของตูนยิ่งตอกย้ำว่าโรงพยาบาลรัฐมีปัญหาสภาพคล่อง ทางออกจึงเป็นการร่วมมือกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในนามมูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในการระดมทุน ถ้าจำกันได้เมื่อตูนวิ่งถึงกรุงเทพฯ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบเงิน 1 ล้านบาทให้กับตูน กลายเป็นดราม่าใน ซึ่งข้อมูลวงในระบุว่าส่วนหนึ่งของเงินที่นำมาบริจาคเป็นการเรี่ยไรมาจากโรงพยาบาลรัฐ อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดสภาพคล่องของโรงพยาบาลจากการสอบถามข้อมูล โรงพยาบาลรัฐบางแห่งไม่มีเงินที่จะซื้อแม้แต่สำลี ต้องซื้อเงินเชื่อ บางแห่งไม่มีเงินจ่ายเงินค่าซื้อยา หลายแห่งเครดิตที่มีกับบริษัทยาก็สูญสิ้น นอกจากนี้หลายแห่งพยายามปกปิดตัวเลขขาดทุนที่ค้างชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่เปิดเผยภาระหนี้ที่แท้จริง เพราะหากฐานะการเงินอยู่ในความเสี่ยงระดับ 7 เกรงว่าการประเมินผลงานบริหารจัดการจะสอบตก หลายแห่งจึงพยายามซุกซ่อนตัวเลขที่แท้จริงไว้ ทั้งนี้หากต้องนับตัวเลขเงินบำรุงโรงพยาบาลที่ติดลบมหาศาล และนับรวมภาระหนี้ที่ต้องแบกไว้ (ปัจจุบันไม่มีการเปิดเผย) ซึ่งบางโรงพยาบาลนอกจากตัวเลขเงินบำรุงติดลบแล้ว ยังมีหนี้อีกเป็น 1,000 ล้านบาทก็มี จึงเป็นข้อมูลที่ซุกอยู่ใต้พรมอีกมากมายที่กระทรวงสาธารณสุขต้องสะสางข้อเท็จจริง ดังนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่กระทรวงสาธารณสุขตื่น กางตัวเลขเงินบำรุงโรงพยาบาลติดลบ กับภาระหนี้ที่แท้จริงของแต่ละโรงพยาบาลแล้ว ก็จะทราบว่าอนาคตสาธารณสุขไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ แม้หลายฝ่ายมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดราม่าที่จใช้เป็นเหตุผลยกเลิกระบบกองทุนสุขภาพถ้วนหน้า(หรือระบบเดิม 30 บาทรักษาทุกโรค) ซึ่งข้อเรียกร้องที่ผ่านมาไม่ได้ต้องการยกเลิก แต่ขอให้ภาครัญปรับปรุงการบริการจัดการของสำนักงานกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ว่าค่าใช้จ่ายรายหัวต่อคนต่อปีถึงมือโรงพยาบาลรัฐเต็มเม็ดเต็มหน่วยกางข้อมูลวิกฤติทางเงินโรงพยาบาลรัฐ
จากข้อมูลฐานะทางการเงินของโรงพยาบาลรัฐทั้งหมด 896 แห่ง ซึ่งมีทั้งโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ถ้าดูตัวเลข ณ 31 ตุลาคม 2560 มีโรงพยาบาลที่ขาดทุนเฉพาะปี 2560 จำนวน 382 แห่ง เป็นเงิน 3,160 ล้านบาท
โรงพยาบาลรัฐที่เงินบำรุงติดลบ 558 โรงพยาบาล เป็นเงิน 12,700.80 ล้านบาท โรงพยาบาลรัฐที่เงินทุนหมุนเวียนติดลบ 217 แห่ง เป็นเงิน 1,861.89 ล้านบาท แต่ถ้าโรงพยาบาลไหนที่ผลประกอบการขาดทุน และเงินบำรุงติดลบด้วยแล้ว นั่นแสดงถึงอาการวิกฤติทางการเงินอย่างรุนแรง จากข้อมูลพบว่าโรงพยาบาลที่เงินบำรุงติดลบอยู่ในระดับ 7 (ตามการจัดระดับความเสี่ยงฐานะการเงินโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข) ถือว่าวิกฤติสูงสุดหรือรุนแรงมากที่สุด มีจำนวน 87 แห่ง ขาดทุน 1,989.96 ล้านบาทก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าคำว่า “เงินบำรุงโรงพยาบาล” ในทางบัญชีคือเงินรายได้ของโรงพยาบาล ที่ได้จากการให้บริการรักษาผู้ป่วย นอกจากนี้ โรงพยาบาลรัฐยังมีรายรับจากงบประมาณของรัฐบาลโดยตรง แต่จะเป็นงบประมาณในการสร้างตึก ซื้อเครื่องมือที่มีราคาแพง เมื่อโรงพยาบาลรัฐเก็บค่ารักษาผู้ป่วยจากผู้ป่วยโดยตรง ลงบัญชีเป็น “เงินบำรุงโรงพยาบาล” สำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำงานของโรงพยาบาล เช่น จ้างลูกจ้าง (ที่ไม่มีตำแหน่งข้าราชการบรรจุ ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ด้านอื่นๆ คนงาน คนขับรถ ฯลฯ รวมทั้งจ่ายค่าทำงานนอกเวลาราชการของบุคลากรทุกประเภท) ถ้ามีผู้ป่วยมาใช้บริการมากโรงพยาบาลเก็บเงินได้มาก มีเงินบำรุงเหลือจากการใช้จ่ายเหล่านี้แล้ว ก็อาจจะเอาไปสร้างตึก ซื้อเตียง ซื้อเครื่องมือแพทย์ ฯลฯ เพื่อพัฒนาโรงพยาบาล
ต่อมาหลังจากมีระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งบริหารจัดการโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ สปสช. โรงพยาบาลไม่มีเงินช่วยจากภาครัฐในการสร้างตึก ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ เงินเดือนของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะรวมอยู่ในเงินรายหัวต่อคนต่อปีที่ สปสช.เป็นคนกำหนดเสนอให้รัฐบาลพิจารณาอนุมัติ ดังนั้นโรงพยาบาลได้รับเงินค่ารักษาผู้ป่วยจาก สปสช., มีรายได้ผู้ป่วยจากกองทุนประกันสังคม ในระบบประกันสังคม และจากกรมบัญชีกลาง (ระบบสวัสดิการข้าราชการ) ซึ่งงบประมาณจากประกันสังคมและกรมบัญชีกลางนั้นโรงพยาบาลพอมีกำไรบ้าง (รายรับสูงกว่ารายจ่าย) แต่ระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้น โรงพยาบาลได้รับจาก สปสช. น้อยกว่ารายจ่ายในการรักษาผู้ป่วย ทำให้โรงพยาบาลต้องนำเงินบำรุงเก่า (ที่สะสมไว้ก่อนมีระบบ 30 บาท) ออกมาใช้จนหมด ปัจจุบันทำให้โรงพยาบาลที่เงินบำรุงติดลบไม่มีเงินจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาเจ้าหน้าที่ และบางแห่งไม่มีเงินจ่ายค่ายา (ซื้อเชื่อจากบริษัทยา) ค่าน้ำ/ไฟ/สาธารณูปโภคอื่นๆ ดังนั้น ถ้าบอกว่าเงินบำรุงติดลบก็คือ รายรับน้อยกว่ารายจ่าย แต่ความจริงโรงพยาบาลเป็นเจ้าหนี้ เรียกเก็บหนี้จาก สปสช. ไม่ได้ จนทำให้โรงพยาบาลเป็นลูกหนี้ (ไม่มีเงินจ่ายบริษัทยา ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ) จนส่อล้มละลาย ตามตัวเลขที่ปรากฏ ปัจจุบันระบบ กองทุนหลักประสุขสุขภาพถ้วนหน้านั้น เดิมทีประชาชนที่อยู่ในระบบนี้ประมาณกว่า 48 ล้านคน จ่ายแค่ 30 บาทเมื่อมาใช้บริการรักษา แต่ต่อมาจนถึงปัจจุบันรัฐบาลยกเลิกการเก็บเงิน 30 บาท เป็นการรักษาฟรีจึงเรียกเป็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยรัฐบาลจัดงบประมาณรายจ่ายต่อหัวในแต่ละปี ซึ่งปี 2560 อยู่ที่ 3,109.87 บาท/คน แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมามีหลากหลายความเห็นที่ออกมาระบุว่าการที่โรงพยาบาลขาดทุนไม่ได้เป็นผลมาจาก สปสช. อาจจะเป็นเพราะการบริหารจัดการที่ไม่ดี มีเจ้าหน้าที่มากเกินไป เป็นต้น เช่นส่วนข้อร้องเรียนที่ผ่านมาเกี่ยวสปสช.อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในข่าวเปิดรายงานดีเอสไอระบุ สปสช. ไม่มีหน้าที่ซื้อยา-เวชภัณฑ์ แถมเอาเงินส่วนลดจากองค์การเภสัชไปใช้เอง เที่ยวต่างประเทศ ซื้อรถตู้ ให้เงินทำวิจัย, เจาะงบ สปสช. ใช้เงินเหมาจ่ายรายหัวประชาชนผิดประเภท, “วินัย สวัสดิวร” เลขา สปสช. แจงปมขัดแย้ง ให้เงินหน่วยบริการอื่น 252 ล้านระบุไม่ใช่เหตุให้ รพ.ขาดทุน – พร้อมเปิดเผยข้อมูลการจัด “ซื้อยา-อุปกรณ์”)