พล.ต.อ. สมยศ ในการยกเลิกสัญญาฟ้าแล่บกับ Siamsport ครั้งนี้ว่า เกิดจากลักษณะสัญญาที่ 1. ไม่เป็นธรรม 2. มีลักษณะผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว และ 3. ไม่กำหนดค่าตอบแทนที่ชัดเจน
เหตุผลทั้ง 3 ข้อ ทำให้ผู้บริหารของ Siamsport ต้องออกมาตั้งโต๊ะตอบโต้ถึง 2 ครั้ง พร้อมขู่ว่าจะที่ทำให้บริษัทเสียประโยชน์ แต่ก็ไม่ทำให้ พล.ต.อ. สมยศ เปลี่ยนท่าที มีการออก แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อคัดเลือก “บริษัทเอเจนซี่” ผู้มาบริหารจัดการสิทธิประโยชน์แทน Siamsport นอกจากนี้ ยังออกให้บริษัทเอกชนใดที่สนใจยื่นข้อเสนอมาให้สมาคมพิจารณา ภายในวันที่ 8 เมษายน 2559 แหล่งข่าวในวงการฟุตบอลหลายคนวิเคราะห์ตรงกันว่า เหตุผลหลักในการยกเลิกสัญญาครั้งนี้ น่าจะมีอยู่ข้อเดียว คือ Siamsport ถูกมองว่า ใกล้ชิดกับขั้วอำนาจเก่าอย่าง “นายวรวีร์ มะกูดี” อดีตนายกสมาคมฟุตบอลฯ (ระหว่างปี 2551-2558) มากเกินไป“เขาจึงต้อง Set Zero สิ่งที่ Siamsport และผู้บริหารสมาคมฟุตบอลฯ ชุดนายวรวีร์ทำมาทุกอย่าง” แหล่งข่าวระบุ
หลายคนอาจไม่รู้ว่า Siamsport เข้ามาเป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์การจัดแข่งขันฟุตบอลอาชีพให้กับสมาคมฟุตบอลฯ หลายยุคหลายสมัยแล้วเพียงแต่เหตุที่การยกเลิกสัญญาครั้งนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ เพราะอยู่ในช่วงที่วงการฟุตบอลกำลัง “บูม” มีเม็ดเงินนับหมื่นล้านบาท !
“สยามสปอร์ต” กับสมาคมฟุตบอล
Siamsport ถือกำเนิดขึ้น ในปี 2516 เมื่อ “นายระวิ โหลทอง” หัวหน้าโต๊ะข่าวกีฬา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ตัดสินใจลาออกมาเปิดโรงพิมพ์ผลิตหนังสือพิมพ์กีฬาของตัวเอง และเติบโตจาก “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” เป็น “บริษัทจำกัด” และ “บริษัทมหาชน” หลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2538
ปัจจุบัน บริษัทในเครือ Siamsport มีจำนวนทั้งสิ้น 7 บริษัท ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสื่อกีฬาและบันเทิง ทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร โทรทัศน์ เว็บไซต์ ไปจนถึงการรับจัดอีเว้นต์ ผลประกอบการในปี 2558 Siamsport มีรายได้รวม 2,076 พันล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากเงินค่าโฆษณา 61% จากการขายสิ่งพิมพ์ 37% และจากรายได้อื่นๆ อีก 2%หลังจากฟุตบอลอาชีพของไทยเริ่มแข่งขันเมื่อปี 2539 Siamsport ได้เข้าไปทำสัญญาเป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ให้กับสมาคมฟุตบอลฯ ถึง 3 ยุค
ที่น่าสนใจคือไม่มีครั้งใดเลยที่ Siamsport ได้อยู่จน “ครบสัญญา”
– ยุคที่ 1 (ระหว่างปี 2544-2548) สมัย เป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ (ระหว่างปี 2538-2550) แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากฟุตบอลอาชีพของไทยยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ทำให้ไม่ได้รับความนิยม โดย Siamsport ทำอยู่ได้เพียง 3 ปี ช่วงจีเอสเอ็มไทยลีก ก่อนขอลดบทบาทเป็นเพียงผู้ช่วยในการประชาสัมพันธ์การแข่งขันเท่านั้น – ยุคที่ 2 (ระหว่างปี 2552-2556) ผ่านการชักชวนของนายวรวีร์ที่เข้ามาเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ ในปี 2551 ขณะนั้น เริ่มเห็นสัญญาณว่าฟุตบอลอาชีพไทยจะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม Siamsport ได้ในปี 2555 เมื่อถูก “นายเนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตั้งคำถามว่า พร้อมกับการเดินหน้าตรวจสอบสมาคมฟุตบอลฯ อย่างเข้มข้น โดยคณะกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี ส.ส. กลุ่มของนายเนวิน เป็นแกนนำ – ยุคที่ 3 (ระหว่างปี 2556-2560) Siamsport กลับมาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ให้กับสมาคมฟุตบอลฯ อีกครั้ง ในยุคที่ฟุตบอลอาชีพไทยกำลัง “บูม” อย่างมาก บริษัทเอกชนและนักการเมืองต่างขนเงินมาลงทุนทำสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างคึกคัก มีการซื้อนักเตะชื่อดังให้มาค้าแข้งในเมืองไทย หลายทีมขับเคี่ยวกับแย่งแชมป์ โดยเฉพาะสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ Siamsport เป็นเจ้าของ กับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่นายเนวินเป็นเจ้าของ ก่อนที่ Siamsport จะถูกยกเลิกสัญญาในปี 2559 เมื่อ พล.ต.อ. สมยศ เข้ามาเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ แทนนายวรวีร์ การยกเลิกสัญญาครั้งล่าสุด ไม่มีใครแน่ใจว่า Siamsport จะมีโอกาสได้กลับไปดูแลสิทธิประโยชน์ให้กับสมาคมฟุตบอลฯ อีกครั้ง ในอนาคต หรือไม่“สยามสปอร์ต” กับผลประโยชน์ฟุตบอลอาชีพ
ตามสัญญา หน้าที่หลักของ Siamsport คือการจัดหาและดูแลสิทธิประโยชน์จากการจัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพ ทั้งแบบฟุตบอลลีก (ไทยพรีเมียร์ลีก*, ดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2) และแบบฟุตบอลถ้วย (เอฟเอคัพและลีกคัพ) ให้กับสมาคมฟุตบอลฯ โดย “นายอดิศัย วารินทร์ศิริกุล” ประธานกรรมการบริษัท ว่า “Siamsport มีหน้าที่หารายได้และรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งที่เหลือจะแบ่งคนละครึ่งกับสมาคมฟุตบอลฯ แต่หากขาดทุน Siamsport จะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” การเข้ามาดูแลผลประโยชน์ให้กับสมาคมฟุตบอลฯ ในยุคที่ 2-3 ถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด โดย Siamsport สามารถเจรจากับบริษัทเอกชนชื่อดังหลายๆ แห่ง ให้เข้ามาสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลอาชีพของไทยได้ หนึ่งในดีลสำคัญคือการเจรจากับบริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด หรือ True Visions ผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกรายใหญ่ของเมืองไทย ให้ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด รวมเป็นเงิน 6,600 ล้านบาทจากการตรวจสอบข้อมูลโดยสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ทั้งจากการแถลงข่าวความร่วมมือต่างๆ และการสอบถามจากผู้เกี่ยวข้อง พบว่า ผลประโยชน์ที่ Siamsport สามารถหามาได้ระหว่างปี 2552-2559 มีมูลค่ารวมกัน อย่างน้อย 7,703 ล้านบาท** โดยสามารถแบ่งที่มาได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
1. เงินค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด จาก True Visions รวม 6,600 พันล้านบาท- ปี 2554-2556 รวม 600 ล้านบาท (ปีละ 200 ล้านบาท)
- ปี 2557-2559 รวม 1,800 ล้านบาท (ปีละ 600 ล้านบาท)
- ปี 2560-2563 รวม 4,200 ล้านบาท (ปีละ 1,050 ล้านบาท)
- บริษัท เครื่องดื่มสปอนเซอร์ จำกัด หรือ Sponsor ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มเกลือแร่ (สนับสนุนการไทยพรีเมียร์ลีก ปี 2553-2555) รวม 165 ล้านบาท
- บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Toyota ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ของประเทศญี่ปุ่น (สนับสนุนการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีก ปี 2556-2561 และลีกคัพ ปี 2553-2555) รวม 530 ล้านบาท
- บริษัท ไทย ยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด หรือ Yamaha ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของประเทศญี่ปุ่น (สนับสนุนการแข่งขันดิวิชั่น 1/ลีกวัน ปี 2555-2559) รวม 90 ล้านบาท
- บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (สนับสนุนการแข่งขันดิวิชั่น 2/ลีกภูมิภาค ปี 2552-2559) รวม 170 ล้านบาท
- มูลนิธิไทยคม (สนับสนุนการจัดการแข่งขันเอฟเอ คัพ ปี 2552-2557) รวม 48 ล้านบาท
- บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยี่ห้อ Chang (สนับสนุนการแข่งขันเอฟเอ คัพ ปี 2558-2562) รวม 100 ล้านบาท
ผลประโยชน์ที่ “สยามสปอร์ต” ได้รับ
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “Siamsport ได้อะไรจากการเข้ามาดูแลสิทธิประโยชน์ครั้งนี้” ? เพราะแม้เม็ดเงินจากสปอนเซอร์ต่างๆ จะไหลผ่าน Siamsport ปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ก็มีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดจาก True Visions ที่ต้องแบ่งให้กับทีมในไทยพรีเมียร์ลีกและดิวิชั่น 1 ค่อนข้างมากต่อปี (ไทยพรีเมียร์ลีก ทีมละ 20 ล้านบาท ลีกวันทีมละ 3 ล้านบาท) เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสดที่กำหนดไว้ปีละไม่น้อยกว่า 500 แมตช์ คำนวณแล้วก็แทบจะไม่เหลือกำไรสักเท่าไรผู้บริหารระดับสูงของ Siamsport รายหนึ่ง ระบุว่า สิ่งที่บริษัทได้รับ ไม่ใช่กำไรจากการเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์โดยตรง แต่เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะยิ่งวงการฟุตบอลไทยเติบโตเท่าไร ยอดขายของสื่อในเครือ รวมถึงเงินค่าโฆษณาต่างๆ ก็จะยิ่งเติบโตขึ้น
และแม้จะไม่เคยมีการเปิดเผย “รายละเอียดของสัญญา” ระหว่างสื่อกีฬายักษ์ใหญ่นี้กับสมาคมฟุตบอลฯ ให้สาธารณชนรับทราบเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่จากการประมวลคำบอกเล่าของผู้เกี่ยวข้องก็พบเกร็ดที่น่าสนใจหลายประการ- การเข้าดูแลสิทธิประโยชน์ให้กับสมาคมฟุตบอลฯ เกิดขึ้นจากสายสัมพันธ์กับนายวรวีร์ ที่ยาวนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่สมัยที่นายวรวีร์เป็นรองเลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ ฝ่ายต่างประเทศ ในยุคที่นายชลอ เกิดเทศ เป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ (ระหว่างปี 2531-2538) โดยนายวรวีร์เคยชื่นชม Siamsport ออกสื่อ ว่าเป็น
- การเซ็นสัญญาดูแลสิทธิประโยชน์ฟุตบอลอาชีพให้กับสมาคมฟุตบอลฯ ทั้ง 3 ครั้ง ของ Siamsport ไม่เคยต้องผ่านการ “ประมูล” เลยแม้แต่ครั้งเดียว
- สัญญาที่สปอนเซอร์ต่างๆ ทำกับสมาคมฟุตบอลฯ ผ่านทาง Siamsport บางสัญญาจะเป็นลักษณะ “ขายพ่วง” คือนอกจากสนับสนุนวงการฟุตบอลไทย ยังเป็นการซื้อโฆษณาในสื่อของเครือ Siamsport ไปในตัว
- เหตุที่ดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกับ True Visions ปี 2557-2559 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปี 2554-2556 ถึง 3 เท่า จาก 600 ล้านบาท เป็น 1,800 ล้านบาท เนื่องจากขณะนั้น True Visions เพิ่งแพ้ประมูล เสียลิขสิทธิ์การถ่ายสอดฟุตบอลอิงลิช พรีเมียร์ลีกไปให้กับบริษัท ซีทีเอช จำกัด หรือ CTH จึงต้องหาโปรดั๊กส์ใหม่ๆ ไปเสนอต่อสมาชิก
- การขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดให้กับ True Visions ทุกครั้ง เป็นการ “ต่อสัญญา” ไม่เคยมีการประมูล เนื่องจากเงื่อนไขในสัญญาที่ Siamsport ทำไว้กับ True Visions ระบุว่า ก่อนหมดสัญญา 1 ปี ให้คู่สัญญามาเจรจามูลค่าสัญญาฉบับใหม่ หากพอใจก็ให้ต่อสัญญาได้ทันที โดยในปี 2559 Siamsport สามารถเจรจาให้ True Visions ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดได้ในมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 4.2 พันล้านบาท แลกกับที่ขยายระยะเวลาสัญญาจากเดิม 3 ปี เป็น 4 ปี (ระหว่างปี 2560-2563)
- Siamsport ดูแลสิทธิประโยชน์เฉพาะการแข่งขันฟุตบอลอาชีพเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลทีมชาติ ที่สมาคมฟุตบอลฯ จะเป็นผู้หาสปอนเซอร์เอง ทั้งการรับเงินสนับสนุนจาก FIFA AFC การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และบริษัทเอกชนต่างๆ
- ยกเว้นการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลทีมชาติ ที่ Siamsport ทำสัญญากับสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี แลกกับค่าตอบแทนนัดละ 750,000 บาท และการโฆษณาในสื่อเครือไทยรัฐอย่างน้อย 5 ครั้ง ที่เมื่อตีเป็นตัวเงินจะมีมูลค่าปีละหลายล้านบาท
- Siamsport เคยทำสัญญารับมอบสิทธิจัดการแข่งขันฟุตซอลอาชีพกับสมาคมฟุตบอลฯ ระหว่างปี 2557-2561 แต่ทำได้เพียง 2 ปีก็ต้องคืนสิทธิ หลังประสบภาวะ “ขาดทุน” อย่างหนัก
อนาคต Siamsport กับวงการฟุตบอลอาชีพไทย
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 25559 สมาคมฟุตบอลฯ ได้ออกประกาศเชิญชวนให้บริษัทเอกชนที่สนใจ ยื่นเอกสารเสนอตัวเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ หรือ Official Agency จากการแข่งขันฟุตบอลอาชีพรายใหม่ ระหว่างปี 2560-2563โดยให้ยื่นเอกสารได้ภายในวันที่ 8 เมษายน 2559 ประกาศดังกล่าว ได้คุณสมบัติของผู้ยื่นเสนอตัว ไว้ 5 ข้อ- เป็นนิติบุคคล สัญชาติไทย
- มีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท
- มีผลงานการบริหารงานด้านการตลาด การขายสื่อประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมทางการตลาด มูลค่ารวมระหว่างปี 2556-2558 ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท
- มีผลกำไรติดต่อกันย้อนหลังไม่น้อยกว่า 3 ปี นับจากปัจจุบัน
- ต้องเสนอแผนงานการจัดหารายได้ เงื่อนไขการรับสิทธิ และหนังสือค้ำประกันของธนาคารพาณิชย์ มูลค่าไม่น้อยกว่าวงเงินประกันรายได้ขั้นต่ำ (minimum guarantee) ต่อปี ที่จะเสนอให้กับสมาคมฟุตบอลฯ
หมายเหตุ
*สมาคมฟุตบอลฯ ชุดใหม่ได้เปลี่ยนชื่อเป็นการแข่งขัน “ไทยลีก” แต่ระหว่างปี 2552-2558 ยังใช้ชื่อว่า การแข่งขัน “ไทยพรีเมียร์ลีก” จึงขอใช้ชื่อเดิม **Siamsport เคยออกมาเปิดเผยตัวเลขสิทธิประโยชน์ที่จัดหามาได้ “แบบแน่ชัด” (ไม่ใช่ประมาณการณ์) เพียง 2 ครั้ง คือใน ที่มีรวม 218 ล้านบาท และในปี 2559 ที่มีรวม 765 ล้านบาท)